พ่อแก่ หรือพระฤาษี ถือเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่คนในแวดวงศิลปะแขนงต่างๆ ล้วนนิยมเคารพนับถือบูชา ถือกันว่าเป็นครูผู้ประสิทธิ์ประสาทวิชาต่างๆ ทั้งมวลแก่มนุษยชาติความเป็นมาของพ่อแก่ บางครั้งก็เรียกกันว่า ครูฤาษี หรือ"ตฺริกาลชฺญ" แปลว่า ผู้รู้กาลทั้งสาม ตามตำนานกล่าวไว้ว่า พระฤาษีมีอยู่ด้วยกันทั้งหมด 108 องค์ ปางเสมอเถรถือว่าเป็นปางที่มีฤทธิ์มากที่สุด บางตำราก็ว่าท่านมีนามว่า "พระฤษีนารท" บางตำราก็ว่าท่านมีนามว่า “พระปรคนธรรพ” ประวัติความเป็นมาทั้ง ในคัมภีร์ทางคติฮินดู ในตำราอินเดีย และตำรานาฏศิลป์ของไทยเรา ส่วนใหญ่ล้วนกล่าวตรงกันว่าท่านเป็น “บรมครู” แห่งนาฏศิลป์ และดุริยางค์ศิลป์ ผู้ที่จะบรรเลงดนตรี หรือรำฟ้อนล้วนต้องไหว้ครู หรือครอบครูมาก่อน และ “ครู” หรือที่พวกศิลปินเรียกขานว่า “พ่อแก่” นั้นก็คือพระฤษีนารท นี่เอง เชื่อถือกันว่า พระฤาษีนารอด เป็นครูของฤาษีทั้งปวง ทรงกำเนิดจากเศียรที่ ๕ ของพระพรมธาดา ทรงเพศเป็นฤาษี พระฤาษีนารอดถือว่าเป็นฤาษีองค์แรกของไตรภูมิ ไม่ว่าจะมีการบูชาสิ่งใด หากไม่มีการเชิญท่านแล้ว พิธีกรรมนั้นจะถือว่าไม่สมบูรณ์ครับ
คนเราจะสามารถบุชาเศียรพ่อแก่ได้หรือไม่ เนื่องด้วยตำราทางโหราศาสตร์ และตำราทางเทววิทยา กล่าวไว้สอดคล้องกันว่า พระพฤหัสบดีถูกสร้างขึ้นมาเพื่อให้เป็นอาจารย์แห่งสรรพวิชาความรู้ทั้งมวล มีผู้กล่าวขานกันว่า " พ่อแก่หรือปู่ฤาษี ท่านจะเป็นผู้เลือกเจ้าของ " เมื่อถึงกาลเวลาอันควร บุญวาสนาปรากฏ จะนำพาท่านที่มีใจปรารถนาครอบครอง หัวโขนพ่อแก่หรือปู่ฤาษี...ท่านจะประสิทธิ์พรแก่ผู้บูชา ได้ครอบครอง บูชาหัวโขนหรือเศียรพ่อแก่หรือปู่ฤาษี อย่างแน่นอนครับ
ตั้งนะโม ๓ จบ
โอม ฦ ฦา ฤ ฤา นะมะ พะทะ จะภะ ทะสะ นะโม พุทธายะ
คาถาบูชาเศียรพ่อแก่หรือพ่อปู่
อุกาสะ อิมัง อัคคีพาหูบุพผัง อะหังวันทา อาจาริยัง สัพพะสัยยัง วินาสสันติ สิทธิการิยะ อะปะระปะชา อิมัสมิง ภะวันตุเม
ทุติยัมปิ อิมัง อัคคีพาหูบุพผัง อะหังวันทา อาจาริยัง สัพพะสัยยังวินาสสันติ สิทธิการิยะ อะปะระปะชา อิมัสมิง ภะวันตุเม
ตะติยัมปิ อิมัง อัคคีพาหูบุพผัง อะหังวันทาอาจาริยัง สัพพะสัยยัง วินาสสันติ สิทธิการิยะ อะปะระปะชาอิมัสมิง ภะวันตุเม
เมื่อท่านได้ทำการบูชาเศียรพ่อแก่มาแล้วมีหลักปฏิบัติดังนี้ครับ
การบูชาในครั้งแรก (อัญเชิญพ่อแก่หรือปู่ฤาษี)
๑. ควรเริ่มบูชาในวันพฤหัสบดี (วันครู) สำหรับบุคคลธรรมดาทำเหมือนไหว้พระทุกอย่างแต่ต่างกันตรงที่ ใช้ธูป ๙ ดอก แต่สำหรับผู้มีองค์เทพสายญาณต่างๆ ครูพระฤาษีท่านว่าดังนี้ กำหนดครั้งแรก ธูป ๓๖ ดอก ครั้งต่อไป ๑๖ ดอกครับ สำคัญที่สุด คือ จิตที่มีศรัทธา เชื่อมั่น ไม่สงสัย ในพ่อแก่หรือปู่ฤาษี
***หากท่านมีใจอยากจะถวายของไหว้ พ่อแก่หรือปู่ฤาษี มีดังนี้
พวงมาลัย ๑ พวง หรือดอกไม้ ๑ กำ หมากพลู ๕ คำ บุหรี่ ๕ มวน กล้วย ๑ หวี น้ำร้อน น้ำชา กาแฟ หรือผลไม้ตามฤดูกาล สำหรับอาหารคาวหวานต่างๆ ตามสมควรไม่เจาะจงครับ
สำหรับบางท่านเป็นพิธีใหญ่ เงินกำนัลครู ขั้นต่ำ 6 บาท 12บาท หรือ19 บาท นี่คือเงินกำนัลครูเทพครูปู่ฤาษี สำหรับใส่ลงในพานครูรวมในพิธีไหว้ครู บายศรีปากชาม หนึ่งคู่ครับ เงินส่วนนี้ไม่เกี่ยวกับเงินช่วยงานเจ้าภาพครับ อาจมีการจัดเครื่องกระยาบวชทั้งห้าไว้ด้วยดังนี้คือ
๑.กล้วยบวชชี ๒.ฟักทองแกงบวช ๓.เผือกแกงบวช ๔.มันแกงบวช ๕.ขนมบัวลอย เป็นต้นครับ
คนวันทั้งเจ็ดเหมาะกับการบูชาพ่อแก่องค์ต่างๆดังนี้
1.1คนวันอาทิตย์บูชาปู่ฤาษีตาไฟ จะช่วยเสริมยศและฐานะให้รุ่งเรื่อง
1.2 คนวันจันทร์บูชาปู่ฤาษีนารอด จะช่วยเสริม เสน่ห์เมตตาให้คนรักใคร่
1.3 คนวันอังคารบูชาปู่ฤาษีพระนารายณ์ จะช่วยเสริม อำนาสวาสนา
1.4 คนวันพุธบูชาปู่ฤาษีพระพิคเณศ จะช่วยเสริม ความคิดและสติปัญญา ในการทำมาหากิน
1.5 คนวันพฤหัสบดีบูชาปู่ฤาษีประไลยโกติ จะช่วยเสริม ตะบะบารมีให้ศัตรูเกรงกลัว
1.6 คนวันศุกร์บูชาปู่ฤาษีพรหมมา จะช่วยเสริม ทรัพย์และเสน่ห์ ให้มีมากมาย
1.7 คนวันเสาร์บูชาปู่ฤาษีสิงห์ดาบถ จะช่วยเสริม ตะบะบารมีให้ศัตรูเกรงกลัว
1.8 คนวันพุธกลางคืนบูชาปู่ฤาษีเพชรฉลูกัน ทรัพย์และเสน่ห์ ให้มีมากมาย
ทั้งนี้ หากท่านใด มีสายญาณปู่ฤาษีองค์ใด ก็สามารถบูชาเพิ่มเติมได้ครับ หรือบูชาไว้ทั้งหมด คงต้องขึ้นกับผู้บูชาว่ามีศรัทธา เชื่อมั่น ไม่สงสัย หรือจุดประสงค์อื่นๆร่วมด้วยครับ
ฤาษี
เรียบเรียงจาก อาจารย์.ว.จีนประดิษฐ์ หนังสือตำนานพระฤาษี
พ.ต.อ. ชลอ อุทกภาชน์ หนังสือแว่นส่องจักรวาล ไว้ณ ที่นี้ครับ
อาจารย์หมอยา ได้นำมาเขียนตามความเข้าใจ เพื่อไว้ให้ท่านทั้งหลายได้อ่าน ผิดถูกอย่างไรก็เป็นบทความหนึ่งเท่านั้น อ่านไว้เพื่อเป็นแนวทางครับไม่จำต้องเชื่อหรือยึดถือ ให้รู้ไว้ใช่ว่าใส่บ่าแบกหามครับ
พระฤาษี คนเราทั่วๆไปมักใช้เรียกขาน ผู้ที่ปฏิบัติตนสมถะ ผู้บำเพ็ญเพียร ด้วยจุดประสงค์ต่างๆเช่น ฤทธิ์ บารมี ความรู้แจ้งในบุญ-บาป ผู้ศึกษา ประพฤติ ปฏิบัติในวิชาการต่างๆ เช่น ว่านยา ไสย์เวทย์ จนจำแนกเป็นสี่ชั้นสำหรับความสำเร็จ คือ
๑ ฤาษี
๒ พรหมฤาษี
๓เทวฤาษี
๔มหาฤษี เป็นต้น
ลักษณะต่างๆของฤาษี สำหรับผู้ยึดแนวปฏิบัติจะได้ทราบว่าท่านเป็นฤาษีแบบใด
ฤาษี ผู้ปฏิบัติตน อยู่ในสถานที่ต่างๆ ที่สะอาด ใช้เวลาการปฏิบัติตนในเวลากลางวันเป็นส่วนมาก
โยคี ผู้ปฏิบัติตน ในศาสตร์ของการดัดตน ทรมานตน การบังคับการลุกนั่ง กินนอน
มุนี ปฏิบัติแบบพราหมณ์ เป็นผู้ทรงความรู้เน้นด้านการใช้ปัญญาในการปฏิบัติ
พระดาบส ผู้ปฏิบัติตนคล้ายๆ โยคี แต่มุ่งไปในทางถือเพศพรหมณ์จรรย์เพื่อความหลุดพ้นจากกิเลสทั้งหลาย
ชฏิล ทำตัวเหมือนพราหมณ์ เกล้ามวย แต่งกายมอมแมม มักอยู่ไกลในถิ่นทุรกันดาร ไม่ตัดผม ตัดเล็บ
นักสิทธิ์ เป็นผู้ปฏิบัติเป็นนักบวชและในขณะเดียวกันบูชาเทพเทวาไปพร้อมกัน เน้นสัจจะ ความเที่ยงธรรม ความว่างเปล่า ความบริสุทธิ์
นักพรต เป็นผู้ปฏิบัติและด้วยศีลอันบรืสุทธิ์ ดำรงไว้ด้วยความสมถะ มักอยู่ในสถานที่ห่างไกลและสงบร่มเย็น
พราหมณ์ เน้นบำเพ็ญปฏิบัติสร้างบารมี และช่วยเหลือผู้คนทั่วไป ไม่เก็บตัวตามสถานที่ห่างไกล จะคงอยู่ในเมือง
*****************************
นอกจากนี้ยังมีการเอ่ยถึงพระฤาษีที่เป็นตัวแทนของกลุ่มดาวฤกษ์ เรียกว่ากลุ่มดาวหางจรเข้ (ทศฤษี) เป็นรายนามดังนี้ครับ
๑. พระโคดม ๖. พระกศป
๒. พระภรัทวาช ๗. พระอัตริ
๓. พระวิศวามิตร ๘. พระปเจตัส (พระทักษะประชาบดี)
๔. พระชมทัศนี ๙. พระภฤคุ
๕. พระวิสิษฐ์ ๑๐. พระนารท
ทั้งสิบพระฤาษีนี้เป็นตัวแทนหรือมีต้นกำเนิดมาจากพระศิวะหรือพระอิศวรครับ
********************************
ฤาษีแบ่งออกเป็นสี่กลุ่มดังนี้ครับ เพื่อสะดวกในการกล่าวถึงหรือเอ่ยในการทำพิธีต่างๆ ว่าท่านมาจากสวรรค์ชั้นใด
๑. ฤาษีชั้นพรหมฤาษี เช่น ฤาษีพรหมมา ฤาษีพรหมมุนี ฤาษีพรหมนารถ ฤาษีพรหมวาสมิกิ
๒. ฤาษีชั้นเทพ เช่น ฤาษีบรมโกฏิ ฤาษีประลัยโกฏิ ฤาษีนารอท ฤาษีนารายณ์ ฤาษีนาเรศ ฤาษีอิศวร ฤาษีพิฆเนศ ฤาษีเพชรฉลูกัณท์ ฤาษีปัญญาสด ฤาษีตาไฟ ฤาษีหน้าวัว ฤาษีหน้าเนื้อ ฤาศีปัญจสิงขร ฤาษีประโคนธรรพ
๓. ฤาษีชั้นมนุษย์ เช่นฤาษีโกเมน ฤาษีโกเมท ฤาษีโกมุท ฤาษีสัตตบุตร ฤาษีสัตตบัน ฤาษีสัตบงกช ฤาษีโคบุตร ฤาษีโคดม ฤาษีสมมิตร ฤาษีลูกประคำ
๔. ฤาษีชั้นอสูร เช่น ฤาษีคีรีเนศ ฤาษีท้าวเวสสุวัณ ฤาษีท้าวหัสกัณท์ ฤาษีท้าวหิรัญสูร ฤาษีพิลาภ ฤาษีพิรอด ฤาษีท้าวพลี ฤาษีอนัตยักษ์ ฤาษีวาณุราช ฤาษีวาหุโลม
*******************************************
ตำนานพระฤาษี และการบูชาพระฤาษี
ฤๅษี แปลว่า ผู้มีปัญญาอันได้มาจาก การฝึกฝนพลังจิตอย่างเด็ดเดี่ยว เพื่อมุ่งประโยชน์ในหนทางความสำเร็จ ในสิ่งใดสิ่งหนึ่งซึ่งเหนือกว่าปุถุชนคนธรรมดา การจะฝึกขึ้นเป็นฤๅษี นั้นมีด้วยกันหลายวิธีแต่มีขั้น ตอนคร่าวๆคล้าย ขั้นบันได เช่น พระโสดาบัน สกิทาคามี อนาคมี แล้วพระอรหันต์ เช่นเดียวกัน ขออธิบายเป็นขั้นตอนง่ายๆ
ขั้นที่ ๑ สิทธา คือผู้ดำรงการฝึกวิชาอาคมหรือมนต์ตราและคาถา จนสามารถล่วงรู้ สวรรค์ นรก มีจริง สามารถติดต่อเทวดา และวิญญาณทั้งหลายได้ ส่วนใหญ่ที่เราเรียกกันในประเทศ มีใช้คำว่า “ฆารวาสผู้ขมังเวทย์”
ขั้นที่ ๒ โยคี หรือ โยคะ คือ การบำเพ็ญตนโดยมีหลักวิชาโยคกรรม ซึ่งพระพุทธเจ้าทรงเคยฝึก คือ การบำเพ็ญทุกขกิริยา นั่นเอง มักจะเที่ยวทรมานตนอยู่ตามเทือกป่าเขาลำเนาไพร เป็นผู้ถือสันโดษไม่ยุ่งเกี่ยวกับผู้ใด มุ่งความสำเร็จในการทรมานเป็นสำคัญ
ขั้นที่ ๓ ดาบส คือ ผู้บำเพ็ญตนมุ่งหมายปฏิบัติเพื่อให้เกิดตบะเดชะ เข้าสู่ฌานเบื้องต้น และเข้าสู่ฌานเบื้องสูงได้ โดยใช้ความพากเพียรทรมานสังขารร่างกาย เพื่อเอาชนะกิเลสของตน สามารถกระทำจิตให้เกิดพลัง เพื่อมุ่งหวังให้อยู่ในโลกุตรสุข แต่ก็ยังไปไม่ได้ เพียงได้แค่ ชั้นสูงของโลกียะสุขเท่านั้น
ขั้นที่ ๔ พระฤๅษี คือผู้บำเพ็ญตนผ่านจากการศึกษาวิชา ๓ ขั้นตอนเบื้องต้นแล้วได้นำเอาตบะอำนาจฌานที่มีนั้น นำการบูชาศาสดาของตนที่นับถือ เพื่อจะได้พรจากพระผู้เป็นเจ้านั้น เมื่อการบูชานั้นถึงซึ่งพระผู้เป็นเจ้าแล้ว พระผู้เป็นเจ้าจะเสด็จลงมาประทานพรนั้นให้แก่บรรดาฤๅษีที่ทำการบูชาแล้วได้เอื้อนเอ่ยนามของฤๅษีนั้นไปทั้ง ๓ โลก จึงจะสำเร็จการเป็นพระฤๅษีได้อย่างแท้จริง ตีความหมายง่ายๆว่าเมื่อการบูชาของฤๅษีนั้นถึงพระผู้เป็นเจ้าแล้วท่านเสด็จลงมาให้อำนาจฤทธิ์เหล่าใดที่พวกฤๅษีต้องการแล้ว จึงตั้งชื่อฤๅษีองค์นั้นให้เช่น ฤๅษีอัคคีเนตร คือฤๅษีตาไฟ ฤๅษีโคสุภเนตร คือ ฤๅษีตาวัว นั่นเอง
(ฤๅษีในพจนานุกรมตีความหมายไว้ว่า ฤๅษีผู้ที่ซุกซ่อนหลีกหนีไปสู่สถานอันสงบระงับ อันมิได้มีความวุ่นวายเข้ามาก่อกวน อีกนัยหนึ่ง เรียกว่า ผู้อยู่อย่างสันโดษ) ถ้าเปรียบในทางพระพุทธศาสนา เราได้ไปขอบวชกับพระพุทธเจ้า หรือ พระอุปัชฌาย์ แล้วก็จะได้นามตามที่พระพุทธเจ้าหรืออุปัชฌาย์เห็นเป็นสมควร เช่น เขมะปัตโต สุชินทะโร อาจารโร เฉกเช่นเดียวกัน อย่างนั้นจะเป็นได้อีก การจะมีผู้ใดจะใช้คำว่า ฤๅษีนั้น ก็จะต้องได้รับการให้พรจากพระผู้เป็นเจ้าแล้ว เท่ากับว่าฤๅษีผู้ใดได้รับการอุปัชฌาย์ หรือบวชฤๅษี แล้วจึงสามารถใช้คำว่า พระฤๅษีได้จริงๆ ตามพระคัมภีร์ปุราณะ และเป็นธรรมเนียมมีปฏิบัติกันมาก่อนสมัยพระพุทธเจ้ายังไม่ได้อุบัติขึ้นในโลกด้วยซ้ำ แล้วจะมีพวกฤๅษีอีกพวกหนึ่งที่เป็นวรรณะสูงมาเป็นฤๅษี จำแนกให้ท่านเข้าใจพอสังเขป
1. พราหมณ์ คือผู้ปฏิบัติบูชาโดยการบูชาด้วยวัตถุ ข้าวของ เครื่องสักการะ และอ่านโองการกล่าวบูชา ดีดสีตีเป่า บูชาสักการะเทพเจ้าเหล่าที่นับถือ เพื่อมุ่งประโยชน์ในการกระทำพิธีอย่างหนึ่งให้สำเร็จ เมื่อการปฏิบัติบูชาของตนจะทำให้ตนเข้าสู่ความเป็นฤๅษีนั้น เข้าจะเข้าสู่ขั้นที่ ๒
2. ชฏิล คือ พราหมณ์จำพวกหนึ่งที่มาใส่ชฎา เกล้าผมไว้หนวดเครายาวรุงรัง ทิ้งผ้านุ่ง มีคนห่มนั้นก็รุงรังยุ่งเหยิง ไม่สวยงาม จะอยู่ตามป่าเขาซึ่งไม่ได้อยู่ในเทวสถานประจำเหมือนพวกพราหมณธรรมดา
3. นักพรต คือผู้ปฏิบัติดีจากวรรณะของชฎิล จะต้องเคร่งมากกว่า จะต้องเป็นผู้ทรงศีล สัจจะอันประเสริฐ มิได้บกพร่องแต่ประการใด ตั้งใจบำเพ็ญพรต ตบะเดชะให้บังเกิดอำนาจจิตสูงขึ้น ส่วนใหญ่จะบำเพ็ญอยู่ในถ้ำคูหาป่าเขา มิให้ใครเห็นเลย นั่งสมาธิเป็นวันเป็นเดือนเป็นปี คือว่าเป็นผู้มีอิทธิฤทธิ์มากเลยทีเดียว เพราะประกอบด้วยวรรณะเป็นพราหมณ์แล้วได้ศึกษาตำรามาแล้วบำเพ็ญเพียรอีก จึงประกอบกันทำให้มีฤทธิ์มากเลยทีเดียว
4. นักสิทธิ คือ พราหมณ์ผู้ปฏิบัติคนด้วยศีลอาจารวัตรมิได้ขาดตกบกพร่องจนสามารถมีฤทธิ์เหาะเหิรเดินอากาศ หายตัว ลุยน้ำ ดำดินได้ หรืออีกนัยหนึ่งคือ กึ่งเทวดา จะชอบเพียงช่วยเหลือผู้ตกทุกข์ได้ยากเป็นนิจ หรือใครมาขอความช่วยเหลือ ก็จะต้องไปช่วยอยู่เสมอ ที่อยู่ของพวกเขาอยู่ระหว่างดินกับฟ้า ก็คือช่องอากาศในพวกกลุ่มนั้นก็จะมีหลายแสนหลายล้านองค์ด้วยกัน
5. มุนี คือ ผู้เป็นพราหมณ์บำเพ็ญเพียรผ่านมาทั้ง ๔ ขั้นตอนแล้วยังทำบำเพ็ญพิธีกรรมต่างๆถวายแก่พระผู้เป็นเจ้าเพื่อให้พระผู้เป็นเจ้าเสด็จมาประทานพรจนกลายเป็นถึงบรมครูเป็นผู้มีปัญญาญานและความรู้ความสามารถในระดับชั้นสูงสุด บางครั้งได้ซึ่งเป็นถึงครูของโลกด้วยซ้ำ อินเดีย เรียก คุรุ พอจะเข้าใจบ้างนะครับว่า การเป็นฤๅษี จากคนธรรมดา กว่าจะมาเป็นฤๅษีนั้นมิใช่ง่ายเลย ถ้าเป็นคนธรรมดาขึ้นมาเป็นฤๅษี เมื่อถึงขั้นได้พรจากพระผู้เป็นเจ้า ก็จะเป็นพระฤๅษีที่มีพลังอำนาจ คือ พระฤๅษีตาไฟ พระฤๅษีมะลัยโกฏิ ฤๅษีมีวรรณะพราหมณ์ ถ้าได้รับพรจากพระผู้เป็นเจ้าได้ชื่อ เช่น พระฤๅษีพรหมมุนี พระฤๅษีวาลมิกิมุนี จะเป็นว่ามีความแตกต่างกันพอสมควร ที่กล่าวมานั้นคือเป็นฤๅษีฝ่ายขาวนะครับ ยังมีฤๅษีฝ่ายดำเช่นเดียวกัน ก็จะต้องเอาไว้มีโอกาสก็จะกล่าวไว้ในครั้งหลังแล้วกัน ที่ได้เขียนบทความเบื้องต้นนั้น เป็นวิถีทางที่เกิดขึ้นก่อนที่พระพุทธเจ้าจะอุบัติขึ้น พอมาถึงคราวที่พระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นนั้น พระพุทธองค์ก็ทรงได้รับการบวชจากมหาฤๅษีชื่อ อาฬาดาบส และ อุทสกดาบส เป็นอุปัชฌาย์ผนวชให้จนได้ชื่อว่า พระฤๅษีสมณโคดมบรมครู ที่ใช้คำว่าสมณะ นั้นพระองค์ท่านเป็นวรรณะกษัตริย์มาบวช ต่อมา พระองค์ท่านก็ได้หาทางพ้นทุกข์ โดยไม่มีใครได้บวชให้พระองค์อีกเลย พึงโต้เลยว่า ถ้าพระพุทธศาสนาอยู่ที่ใด ความเป็นฤๅษีนั้นคงจะห่างไปจากกันเลยเสียมิได้ เพราะพระพุทธองค์ได้ดำรงสมณะการบวชด้วยฤๅษีมาแล้ว ครูของพระองค์ก็ยังเป็นฤๅษีซึ่ง เราท่านทั้งหลายคงจะหนีความจริงไปไม่พ้น ฤๅษีจะต้องอยู่คู่พระพุทธศาสนาของพระสมณโคดมบรมครูจนถึงกัลป์อันสิ้นสุดจนไปถึงยุคของพระศรีอาริยเมตตรัยนั้นเอง
ต่อมาเมื่อพระพุทธเจ้าได้อุบัติขึ้นก็ทำให้ฤๅษี มุนี หลายองค์ได้เข้าไปบวชอยู่กับพระพุทธเจ้า และบำเพ็ญตนจนได้บรรลุอรหันต์ไปหลายองค์ เมื่อแต่ละองค์นั้นได้สำเร็จมรรคผลนั้น ต่างก็ไปคนละทิศคนละทาง บำเพ็ญตนต่อ ตามที่ พระพุทธองค์ท่านทรงประกาศไว้ พระอรหันต์บางองค์ก็เป็นปัจเจกอรหันต์ บางองค์ไว้หนวดไว้เครา บางองค์ก็ไว้ผมยาว ก็เลยทำให้บุคคลที่พบเห็นทั่วไปนั้น ก็เลยเรียกท่านว่า ฤๅษีเหมือนกัน อย่างเช่น พระอรหันต์จี้กง พระอรหันต์ตักม้อ ทางอินเดียก็เรียกท่านว่า พระฤๅษีตักม้อ ยุคหลังมาจึงได้บังเกิด ฤๅษีอีกกลุ่มหนึ่ง คือ หลวงปู่พระฤๅษี ขึ้นมาก็คือได้รับการอุปสมบทจากพระพุทธศาสนาแล้วบำเพ็ญตนจนเห็นทางของตนเป็นปัจเจกอริยสงฆ์ ไม่ยุ่งเกี่ยวในลาภยศสรรเสริญ มุ่งแสวงหาโมกขธรรมเพียงอย่างเดียวทุกอย่างเป็นไปตามธรรมชาติ คือธรรมะ จึงปล่อยให้ผม ให้หนวดยาวตามธรรมชาติ ย่อมไม่ได้อยู่ในหมู่กลุ่มของพระสมมติสงฆ์ทั่วไป ไม่ยึดติดในรูปแบบต่างๆ แล้วแสวงหาความหลุดพ้นจากกิเลสไปสู่พระนิพพานได้เฉกเช่นเดียวกัน เพราะศาสดา ก็คือพระพุทธเจ้านั่นเอง แต่ฤๅษีดาบสที่กล่าวมาเบื้องต้นนั้น นับถือพระผู้เป็นเจ้า อาจจะเป็นองค์ใดก็ได้ เช่น พระศิวะ(พระอิศวร) พระนารายณ์ พระพรหม ก็ได้ แต่หลวงปู่พระฤๅษีนั้นมีศาสดาคือ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์เดียว อาจจะใช้การบูชาพื้นฐานของฤๅษีมาปฏิบัติก็ได้ แต่พอสู่ชั้นสูงก็เอาหลักธรรมของพระพุทธเจ้ามาใช้จึงไปสู่การหลุดพ้น ขอแบ่งชนิดฤๅษีที่อยู่ในระดับชั้นต่างๆ ให้ผู้อ่านได้เข้าใจพอสังเขป
ชั้นที่ ๑ เรียกว่า ราชรรษี หมายความว่า เจ้าฤๅษีมีชั้นและฐานะความเป็นอยู่อย่างธรรมชาติปกติ
ชั้นที่ ๒ เรียกว่า เทวรรษี หมายความว่า เจ้าฤๅษีที่บำเพ็ญตนสามารถ เหาะเหิรเดินอากาศ มุดน้ำดำดิน หายตัวได้ ที่เรียกว่า เทวฤทธิ์
ชั้นที่ ๓ เรียกว่า พรหมรรษี หมายความว่า การปฏิบัติ จนมีฌานแก่กล้า เป็นถึงชั้นบรมครูแล้วเป็นที่เคารพของเทวฤๅษีทั้งหลาย เรียกง่ายๆว่า พรหมฤๅษี
ชั้นที่ ๔ เรียกว่า มหรรษี หมายความว่า ฤๅษีเหล่าที่เกิดจากฤทธิ์อำนาจของพระผู้เป็นเจ้าบันดาลขึ้นมาจากกายของพระองค์แต่ละองค์ อย่างเช่น สัตตะฤๅษี
ฤๅษีทั้ง ๗ องค์ที่ออกมาจากการบันดาลของพระศิวะเจ้าคือ
1. มรีจิ 2. อัตริ 3. อังคีรส 4.ปุจหะ
5. กระตุ 6. ปุจลัสตะยะ 7. วิสิษฐิ
ฤๅษี ๗ องค์ที่ เป็นของพราหม์ เป็นการบันดาลของพระพรหม คือ 1. โคดม 2. ภริทวาร 3. วิศวามิตร 4. ชมทิศนี (ชมมิทอัคคี) 5. วิสิกรุ 6. กศยป (กัด-สะ-หยบ) 7.อัตริ นี้เป็นฤๅษีมีฤทธิ์เดชมาก อำนาจสูงส่ง แต่จะเอามาเทียบกับ หลวงปู่พระฤๅษีไม่ได้ เพราะฤๅษีที่กล่าวมาเบื้องต้นเป็นฤๅษีมีอยู่ในโลกิยฌาน ไม่หลุดพ้น จึงไม่ต้องเปรียบเทียบกัน ทางคณะผู้จัดทำได้อธิบายอย่างสังเขปให้เข้าใจแล้วเรื่องประวัติต่างๆของฤๅษีแต่ละฤๅษีนั้นไว้โอกาสหน้านะครับ และที่จะกล่าวถึงอีกว่า ผู้ใดเกิดวันใด ควรบูชาฤๅษีองค์ไหน ซึ่งปัจจุบันมีผู้สงสัยจำนวนมาก
ครูปู่ฤาษี อาจารย์ไสยศาสตร์ที่สำคัญๆ
1 องค์พระศุกกราอาจารย์(พระ-ศุก-กรา-อา-จา-ระ-ยะ) หรือฤาษีศุกร์ และอีกนามหนึ่งคือครูอสูร ผู้ซึ่งเป็นคุรุ หรือครูของเหล่าอสูร ยักษ์ ทั้งหลาย เป็นบุตรแห่ง(มหาฤาษีภฤคุผู้ทรงเป็นหนึ่งในเจ็ดมหาสัปตะฤาษีผู้ยิ่งใหญ่ทั้ง7) ฤาษีศุกร์ เชี่ยวชาญในมนตรา วิชา ทุกแขนง ที่สันทัดเป็นพิเศษคือ การกำหนดปลุกฟื้นคืนชีพและการทำลายชีวิตศัตรูแบบช้าๆด้วยความทรมานด้วยสารพักศาตราและโรคา การกดดวงชะตาให้ตกต่ำไม่มีผู้ค้ำจุน หรือการทำลายฐานดวงให้ชีวิตพลัดพรากจากสิ่งที่ตนรัก ในทางกลับกัน ก็เชี่ยวชาญในการแก้ไขเช่นเดียวกันด้วย พระฤาษีศุกร์ มีลูกศิษย์คนสำคัญๆยกตัวอย่างเช่น โสมเทพ(พระจันทร์) ราหู (พระราหู)เป็นต้น ฤาษีศุกร์ถือเป็นฤาษีที่อยู่ในศักดิ์ เทพฤาษี อันเป็นชั้นที่ 2 ของระดับชั้นของฤาษีเบื้องบน(ฤาษีแบ่งเป็นฤาษีเบื้องบนคือชั้นฟ้าและฤาษีเบื้องล่างคือชั้นดิน) ในชั้นที่แรกสุดของฤาษีชั้นฟ้าคือราชฤาษี ชั้นที่2คือเทพฤาษี ชั้นที่3คือพรหมฤาษี และชั้นสูงสุดคือมหาฤาษี
2 องค์พระฤาษีอังคีรส(พระ-อัง-คี-รส) หรือฤาษีพฤหัส และอีกนามหนึ่งคือคุรุเทพ เป็นคุรุหรืออาจารย์ของเหล่าเทพทั้งหลายยกตัวอย่างเช่น พระสุริยเทพ(พระอาทิตย์) องค์อมรินทราเทวาธิราชเจ้า(พระอินทร์)เป็นต้น เป็นฤาษีชั้นฟ้าในระดับเทพฤาษี เป็นบุตรของ(มหาฤาษี อังคีระสะ หนึ่งในมหาสัปตฤาษีผู้ยิ่งใหญ่ทั้ง7) ฤาษีพฤหัส เป็นผู้เชี่ยวชาญในทุกแขนงมนตรา วิชา และที่ถนัดเป็นพิเศษคือวิชาในการ ให้สติปัญญา สร้างจิตสำนึกที่ดี เปลี่ยนแปลงแก้ไขความชั่วร้ายทั้งหลายให้กลายเป็นความดีงาม สร้างความรักความเข้าใจในสามีภรรยา และครอบครัว และองค์กรต่างๆ ได้เป็นอย่างดี
3 ฤาษีตาวัว หรืออีกชื่อหนึ่งคือฤาษีหน้าวัว พระนามที่จริงคือ พระนนทิ (พระ-นน-ทิ) นั่นเอง เป็นฤาษีในชั้นเทพ เป็นบริวารองค์สำคัญและยังเป็นพระราชพาหนะของ (องค์พระสดาศิวะมหาเทพ) เป็นผู้เชี่ยวชาญในเรื่องดนตรี การร้อง ฟ้อน รำ เต้น มีศิลปะในการพูดจา เจรจาได้น่าฟังเป็นที่น่าเชื่อถือและเป็นที่ยกย่อง อีกทั้งเป็นที่รักใคร่ของผู้อื่น มีเสน่ห์ ดึงดูดใจเพศหญิงเป็นอย่างดีในภาคนี้มีรูปร่างเป็นมนุษย์ นุ่งห่มหนังเสือดาวสีเหลือง ศีรษะ เป็นวัวหนุ่ม สีขาว สวมประคำหินสีดำ
4 ฤาษีหน้าเสือ หรือพระนามที่จริงคือ ท่านท้าว หิมวัต (หิม-มะ-วัต) เป็นฤาษีในชั้นเทพ เป็นพระราชบิดาของ(องค์พระแม่ปารวตีมหามาตาอุมาเจ้า) เป็นหนึ่งในคณะปติบริวารสำคัญ ของ องค์พระสดาศิวะมหาเทพ เป็นผู้เชี่ยวชาญในการปราบและกำราบศัตรูเก่งกาจในเรื่องการรบ และการปกครองบริวาร ควบคุมดูแลบริวารได้อย่างดีเยี่ยมในภาคนี้มีรูปร่างเป็นมนุษย์ นุ่งห่มหนังเสือโคร่งสีเหลือง ศีรษะเป็นเสือโคร่ง สวมประคำ รุทรากษะ
5 ฤาษีสุตะ เป็นฤาษีในชั้นดิน เป็นศิษย์เอกของ(มหาฤาษีวยาสะหนึ่งในคณะอาจารย์แห่งฤาษีชั้นฟ้าและชั้นดิน) ฤาษีสุตะเป็นผู้เชี่ยวชาญในการขับอ่านโศลก และแตกฉานเชี่ยวชาญในปุราณะ ทั้ง 27 ปุราณะโดยเฉพาะอย่างยิ่ง พระศิวะปุราณะซึ่งแบ่งออกเป็น 24,000 บาท แยกย่อยได้อีกเป็น 7 สัมหิตา (เรื่องราวโดยสังเขป) ฤาษีสุตะมีรูปกายเป็นชายในสังขารราว60-70ปี ผิวกายขาว ร่างกายทาด้วยขี้เถ้า ไว้เหนวดเครายาวเสมอ อก ผมยาวมุ่นเป็นมวย ผมเผ้าหนวดเคราเป็นสีดำสนิท นุ่งห่มผ้าสีเหลือง,ส้ม คล้องประคำ รุทรากษะ
6 ฤาษีกษิโรธ เป็นฤาษีในชั้นเทพฤาษี ถือได้ว่าเป็นเสมือนบิดาของ(องค์พระมหาลักษมีมาตาเทวีเจ้า ผู้เป็นพระชายาในพระมหาวิษณุผู้เป็นเจ้า) เป็นผู้สันทัดในเรื่องความอุดมสมบูรณ์ ความมั่งคั่ง ร่ำรวย ด้วยสมบัติ อันมากมาย ฤาษีกษิโรธ ภาคนี่มีรูปเป็นมนุษย์ ศีรษะเป็นพญานาค ผิวกายสุกสว่างเป็นสีขาว นุ่งห่มด้วยเสื้อผ้าเครื่องประดับล้ำค่าดั่งกษัตริย์เป็นสีขาว คล้องประคำไข่มุกสีขาว
7 ฤาษีศิลาท เป็นฤาษีในชั้นดิน เป็นบิดาของ(พระนันทิน หรืออีกนามหนึ่งคือ พระนันทิเกศวร ผู้ซึ่งเป็นหัวหน้าคณะปติของ องค์พระสดาศิวะมหาเทพ) ฤาษีศิลาท เป็นผู้ที่ได้รับการยอมรับว่า มีบุตรอันยอดเยี่ยม และยิ่งใหญ่ เป็นอภิชาตบุตร อันหาที่เสมอเหมือนมิได้ ฤาษีศิลาท มีรูปกายเป็นมนุษย์ สูงใหญ่ผิวแดง หนวดเคราหนาสีดำสนิท แข็งแรง คล้องประคำรุฑรากษะ นุ่งห่มผ้าสีเหลืองส้ม ผมยาวเป็นมวยสีเทา
และที่จะกล่าวถึงอีกว่า ผู้ใดเกิดวันใด ควรบูชาฤๅษีองค์ไหน ซึ่งปัจจุบันมีผู้สงสัยจำนวนมาก ครั้งนี้คณะผู้จัดทำได้ขอความอนุเคราะห์จาก หลวงปู่พระฤๅษีแก้ว มาให้ทางท่านผู้อ่านได้มีความเข้าใจและบูชาได้ถูกจริต เพราะหลวงปู่พระฤๅษีแก้ว ท่านได้มีความเชี่ยวชาญ มีความรู้และศึกษาคัมภีร์โบราณจากอินเดีย เนปาล ทิเบต จนได้เกิดความเชี่ยวชาญโดยเฉพาะจึงได้ขอความเมตตาจากท่านให้ข้อมูลเรื่องของฤๅษีและผู้ที่เกิดวันอะไรควรใช้ฤๅษีอะไรกันดี
ผู้เกิดวันอาทิตย์ .....เป็นธาตุหิน มีลักษณะ หยิ่งทรงตน รักเกียรติ รักศักดิ์ศรี ความไม่ยอมงอ คิดอ่านจะเป็นผู้นำ มีความสามารถเหนือผู้อื่นอยู่แล้ว เพราะ ดวงอาทิตย์เป็นประธานในระบบสุริยะจักรวาล คนที่เกิดวันอาทิตย์ นั้นเป็นผู้มีอำนาจมีคนยำเกรงอยู่แล้วจึงจะต้องบูชาฤๅษีที่เกี่ยวกับมหานิยม มหาเสน่ห์ ควรบูชา ฤๅษีโคตรบุตร ท่านเป็นผู้มีอาคม อิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ทั้งทางเมตตา มหานิยม มหาเสน่ห์ เพียงเอ่ยนามพระฤาษีโคตรบุตร นั้นจึงทำให้ นางฟ้า เทพธิดา กินรี อัปสร ต่างก็วิ่งเข้ามารักมาหวงอยู่มิขาด ถ้ายังหาบูชามิได้จริงๆ ก็สามารถบูชา องค์ฤๅษีนารอด กับองค์พระนารายณ์ ก็ได้ คือท่านเป็นพี่น้องกันจึงกลมเกลียวมี เมตตา มหานิยมดี การบูชาฤๅษีโคตรบุตร นั้นควรมี
1.ขันธ์ ๕
2. ธูป ๕ คู่ เทียน ๕ คู่
3.ดอกไม้เหลือง ๕ คู่
4. แป้งขาว กระจก สีนวด สีผึ้ง
5. หมากพลู บุหรี่
6. บายศรี ๑ คู่
7. ไข่ ๑ ลูก มะพร้าวอ่อน กล้วย ๑ หวี
8. ใบรัก ใบยม ๙ ใบ
9. จุดธูป ๙ ดอก พระคาถาบูชา บรมครูฤๅษีโคตรบุตร โอม นะมัสการเม กาเร อะหัง วันทา คุรุโคตระบุตร บรมครู สาธุ กัง ปุชิตตะ วา มหาลาโภ มหาวาภัย มหาสิงนหา สัพพะสุขัง พลัง ปูชายะ ภะวันตุเม ปิโยเทวา มนุสสานัง ปิโยพรหม มนุตตะโม ปิโยนาค สุปันนานัง ปริณินทริยัง นมามิหัง ชิวาหายัง มธุวาจัง ชิวหา มะยัง จันติ การะกาโก กุเลชาตัง สาริกกรานัง ปิยังมะมะวา บูชาด้วยพระคาถา ท่องบ่นเป็นประจำที่วันอาทิตย์ 3, 5, 7, 9 ครั้งก็ได้ ด้วยอานิสงค์ของปู่ฤๅษีโคตรบุตร จะทำให้เสริมเมตตาบารมี ปกครองลูกน้องบริวารได้ดี เสริมความก้าวหน้าในหน้าที่และการงาน เจริญรุ่งเรือง ผู้เกิด
วันจันทร์...... เป็นคนธาตุไม้ มักจะเป็นคนโกรธง่ายหายเร็ว เป็นคนลักษณะใจร้อน หาเงินได้ไม่ค่อยขาดมือ มักจะมีเสน่ห์และเจ้าชู้ ชีวิตจะไม่ค่อยอยู่กับที่กับทาง มักจะเป็นคนพูดขวานผ่าซากบ้าง แต่เรื่องที่ตัวเองชอบกับพูดให้คนอื่นรักได้ แต่ถ้าเรื่องเป็นงานเป็นการ ไม่ค่อยจะได้เรื่อง จึงควรบูชา จะบูชาฤๅษีองค์ใด พระฤๅษีอิสีกัลโลยะกะ หรือที่เรียกขานว่า ฤๅษีหน้าม้า มีมนตรามหาอำนาจมาก สามารถถึงขั้น เสกให้บังเกิดศิวลึงค์ซึ่งมีพระอิศวรเท่านั้นถึงสามารถเสกศิวลึงค์ประทับได้เท่านั้น ท่านเป็นผู้มีความฉลาดรอบรู้ มีการวางแผนรอบคอบ ท่านทำสิ่งใดจะไม่ประมาท ใคร่ครวญพิจารณาอย่างถ้วนถี่ ใครได้บูชาฤๅษีอิสิกัลโลยะกะนั้น ปรารถนาสิ่งใด สมหวังได้อย่างแน่นอน การบูชาฤๅษีอิสิกัลโลยะกะ มี
1. ขันธ์ ๕
2. หมากพลู บุหรี่
3. หญ้าอ่อน น้ำเปล่า
4. รูปปั้นหน้าม้า ๔ รูป
5. น้ำนมโค, นมแพะ
6. ดอกไม้เหลือง ๙ ดอก พระคาถาบูชา ฤๅษีอิสิกัลโลยะกะ โอม นะโม นะมัส สกาเรนะ ตัง สาธุตัง ปูชานัง อิสิกัลโลยะกะ มหาคุรุ ทานัง ศีลัง ปัญญัง พะลัง ปูชายัง สัพพะ สุขัง ภะวันตุเมโพชฌังโค สะติสังขาโต ธัมมานัง วิจะโย ตะถา วิริยัมปิติปัสสัทธิ โพชฌังคา จะ ตะถาปะเร สมาธุเปกขะโพชฌังคา สัตเตเต สัพพะทัสสินา มุนินา สัมมะมักขาตา ภาวิตา พะหุลีกะตา สังวัตตันติ อะภิญญายะ นิพพานายะ จะ โพธิยา เอเตนะ สัจจะวัชเชนะ โสตถิ เต โหตุ สัพพะทา บูชาด้วยพระคาถาทุกวันจันทร์ 3, 5, 7, 9, 21 จบ จะได้รับอานิสงค์และพรจากปู่ฤๅษีอิสิกัลโลยะกะ จะทำให้ ส่งเสริม สติ มีสมาธิ ป้องกันภัยอันตราย จากโรคภัย วาตภัย อุทกภัย ส่งเสริมบารมีธรรม ประสบสุขสมหวังได้อย่างน่าอัศจรรย์
อังคาร .......เป็นธาตุเหล็ก กล้าหาญ ชอบทางทหาร ตำรวจ หรือรับราชการเป็นส่วนใหญ่ ถ้าเป็นพ่อค้า ก็ทำการค้าการขาย ได้เงินมาก็ใช้หนา มีจิตใจรักจริง จะทำคุณกับคนไม่ค่อยขึ้น หรือ จะพึ่งญาติ วงศ์ตระ***ลนั้น ยากทีเดียว จะต้องขึ้นหรือสร้างฐานะด้วยตัวเองจึงควรบูชา พระฤๅษีอัคคีเนตร สำหรับ คนที่เป็นข้าราชการ ตำรวจ ทหาร พระฤๅษีพรหมประทาน สำหรับ พ่อค้า หรือ ทำธุรกิจต่างๆ 1. พระฤๅษีอัคคีเนตร (หรือ ฤๅษีตาไฟ) นั้นเป็นผู้มีมนตรา คาถา ไปทางอยู่ยงคงกระพัน แคล้วคลาด ต้านปืน และยังมีอำนาจทำลายล้างคู่ต่อสู้ได้ การบูชาฤๅษีอัคคีเนตร
1. ขันธ์ 5 ขันธ์ 8
2. บายศรีปากกรวย 1 คู่
3. ธูปหอม 16 ดอก
4. ไข่ต้ม 11 ฟอง
5. ดอกไม้สีแดง 11 คู่
6. หมากพลู บุหรี่
7. มะพร้าวอ่อน แตงโม กล้วย อ้อย
8. น้ำชา 1 แก้ว งาขาว งาดำ พระคาถาบูชา วันทัตตะวัน คุรุอุปัชฌาจาริยะ โอม นะโม นะมัสสกาเม ทิตตะวา อัคคีเนตตะ อาจาริยัง สัพพะ พะลัง สัพพะสิทธัง อิทธิฤทธิ ประสิทธิเม อัคคีจักขุ จิปังสคิ อัคคีจักขุ ปิเสคิจิ อัคคีจักขุ เสคิจิปิ อัคคีจักขุ คิจิปิเส นะมะพะทะ นะมะอะอุ นะโมพุทธายะ สำหรับบูชาทุกวันอังคาร 9, 11 จบ หรือท่องบนก่อนออกไปปฏิบัติหน้าที่ทางราชการตามมี (สำหรับ มอบหมาย หรือช่วยให้เรารอดพ้นจากภัยพิบัติทั้งหลาย ได้อย่างน่าอัศจรรย์) 2. พระฤๅษีพรหมประทาน เป็นฤๅษีที่มีความโอบอ้อมอารีชอบช่วยเหลือเผื่อแผ่ และประทานพรให้แก่มนุษย์ผู้ตกยาก พร้อมด้วยตบะบารมีของท่านนั้นสูงมากจะช่วยเสริมให้การทำธุรกิจการค้าขาย เจริญรุ่งเรือง เพราะส่วนใหญ่ คนวันอังคารจะทำการค้าจำนวนมาก ฤๅษีองค์นี้จะได้มาช่วยประทานทุกสิ่งที่เราต้องการ แต่บอกเกร็ดไว้อย่างว่า ก่อนที่ท่านจะประทาน เราจะต้องขอและบูชาท่านก่อนนะครับ มิฉะนั้นท่านไม่รู้จะประทานอะไรให้เราได้
การบูชาพระฤๅษีพรหมประทาน
1. ขันธ์ 5 ขันธ์ 8
2. นมแกะ , นมแพะ
3. กล้วย อ้อย ส้ม อย่างละ คี่ ห้ามเป็นคู่ เด็ดขาด
4. ผ้า ๓ สี
5. ดอกไม้สีชมพู 11 ดอก
6. สร้อย ต่างหู เป็นสีทอง หรือ เครื่องประดับอะไรก็ได้ที่เป็นมงคล เช่น กำไล แหวน สร้อย คล้ายถุงทองก็ได้ พระคาถาบูชา พระฤๅษีพรหมประทาน โอม พรหมปะเทหะ คุรุ นะเม นะมัส สกาเร มหา วิยัง สัพพะเทวานัง ปุชิตตะวา มหาลาโภ มหาลาภัง มหาเสกฐิน มหาเสฐฐี มั่ง มั่ง มีมี มูล มูล มีมี มามา มาก มาก มาย มาย สัพพะธะนัง สัมลาภัง ภะวันตุเมพรหมา จะมหาเทวา สัพเพยักขา พะลายันติ พรหมมา จะ มหาเกลา อภิจะลาภา ภะวันตุเม มหาปุญโณ มหาลาโภ ภะวันตุเม มิเต ภาหุหะติ สำหรับท่านที่เกิดวันอังคาร แล้วทำธุรกิจต่างๆ ควรบูชาอย่างนี้ในทุกวันอังคาร 16 จบ จะเกิดอานิสงค์ มงคล ลาภ สักกาเร การค้าขาย ทำธุรกิจ เจริญรุ่งเรือง แบบอย่างที่เราคาดไม่ถึง ถ้ายังไงก็ลองเอาไปทำการบูชาดูนะครับ
ผู้ที่เกิดวันพุธ ..........จะเป็นธาตุเถ้า (เถ้ากระดูก) ส่วนใหญ่โรคภัยจะรุมเร้า หาทรัพย์มิค่อยได้ จะทำสิ่งใดไม่ค่อยจะราบรื่นเท่าไรนัก ส่วนใหญ่จะตกพระราหูขังแกรง เป็นประจำจึงจะทำให้ตกต่ำกว่า วันอื่นมาพอควรและ บางทีก็จะแยกเป็นพุธกลางวัน กับพุธกลางคืน สำหรับพุธกลางวัน ควรจะต้องบูชา พระฤๅษีวาลมิกิ ท่านเป็นผู้มีความเมตตาสูงและยังมีอาวุโส ในเรื่องอายุก็สูงอีกด้วย ท่านจึงเป็นผู้ไร้ซึ่งทุกขโรค โรคภัย พร้อมทั้งมีปัญญาญาณ เป็นครูของฤๅษีทั้งหลายอีกครับ ท่านจึงเป็นผู้มีอำนาจแม้กระทั่ง พระราหู ยังให้ความเคารพเป็นครูด้วยซ้ำ การบูชาฤๅษีวาลมิกิ
1. ขันธ์ 5 ขันธ์ 8 จุดธูป 16 ดอก
2. บูชาท่านนั้น ห้ามใช้ดอกไม้ ให้ใช้ใบไม้อย่างเดียว
3. นมวัว
4. ผ้าสีทอง ขนาดกว้าง 1 ศอก ยาว 1 ศอก
5. หญ้าคา 1 กำ สดได้ยิ่งดี
6. ท่านชอบมี บริวาร ควรมีรูปปั้นตุ๊กตาเด็กหลายตัว
7. ผลไม้ 3 อย่าง
8. ไม้เท้า 1 อัน ขนาดเท่าศอกของผู้บูชา เขียนชื่อ วันเดือน ปี เกิด ของผู้บูชาใส่ลงในไม้เท้านั้น พระคาถาบูชาพระฤๅษีวาลมิกิ โอม นะมัส สะการเร อาจาริเย พรหมมัสสะเต วาลมิกิคุรุ เทโว โลเก ภาริยัมนะยัม อะระหัง จะ สาธุ โรคา ภะยัง วินาสสันตุ สัพพะ ลาโภ สัพพะลาภัย อะหังวันทา นะมามิ อายุ วัฒฑโก ธะนะ วัฒนะโก สุขะ วัฒนะโก โหตุ สัพพะทา ทุกขโรคา ภะยา เวรา โหตุ สัพพะทา ทุกขโรคา ภะยะเวรา โสกา สัตถุจะปัทวาลา อะเนกา อันตราย ยาปิ วินาสสันติ อะเสสะโต บูชาพระฤๅษีวาลมิกิ ด้วยพระคาถาทุกวันพุธ สำหรับผู้ที่เกิดตอนเช้า จะได้หายจากโรคภัย ภยันตราย และพ้นเคราะห์กรรมต่างๆ และเสริมลาภสักการะแด่เรา ไม่แน่นะครับ ถ้าบูชาถึงท่านดีๆ ท่านอาจจะมานิมิตในความฝันก็เป็นได้นะครับ เพราะว่า ท่านยังมิได้สิ้นชีพเลย
สำหรับผู้ที่เกิดวันพุธกลางคืน............. ส่วนใหญ่ลักษณะกลุ่มคนพวกนี้ จะโกรธง่ายหายเร็ว และมักจะใช้จ่ายไม่ค่อยยั้งมือและจะมีศัตรูอยู่ใกล้โดยไม่รู้ตัว กว่าจะรู้ตัวก็สายไปเสียแล้ว จึงควรบูชาฤๅษีองค์นี้คือ พระฤๅษีสิงหล เป็นฤๅษีที่เป็นเทวดาที่ชอบพระกรรมฐานเป็นที่ตั้งมีดวงจิตปริยุทธ ท่านบำเพ็ญตนอยู่เทือกเขาหิมาลัย และยังสงเคราะห์มนุษย์เพื่อเสริมสร้างจิต สติปัญญาให้รู้เท่าทันคน และมีตบะบันดาลให้ประสบความสำเร็จขึ้นได้ตามที่ผู้บูชาต้องการ การบูชาพระฤๅษีสิงหล
1. ขันธ์ 5
2. ธูปหอม หรือกำยาน ตลอดในการบูชาวันพุธกลางคืน
3. น้ำชา อย่าได้ขาด
4. สมุดหรือหนังสือปากกา ยังไม่ได้ใช้ 1 ชุด
5. ผ้าแดง ผ้าขาว 1 วา
6. ลูกแก้ว 1 ลูก พระคาถาบูชาพระฤๅษีสิงหล นะโม เม จะเทวานัง คุรุสิงหล เทวตานัง สติปัญณัง อะหังโลเก สมาธิยาจามิ อิติปูรานัง จะมหาโภโค มหาลาโภ สิทธิวิชัยยัง ภะวันตุเต ราชะสีโห มหานาโถ สีหนาถทะกัง พุทธะ สีลัง มาระเสนา ปะราชิโต จะตุตีสังเขนะ ตันทังสัพพะ ปาเลนตุมัง นะโมพุทธายะ การบูชาฤๅษีสิงหล พึงบูชาในวันพุธเวลากลางคืนจะได้บังเกิด สติปัญญา วิวัฒนมงคง เจริญสุข เสริมลาภเสริมยศ ปราบศัตรูอยู่ใกล้ตัวจนสิ้นไป
ผู้ที่เกิดวันพฤหัสบดี.............. เป็นคนธาตุน้ำ เป็นคนโมโหง่าย รักเรียนรู้ ใช้เชี่ยวชาญ ปากเป็นโวหาร ชอบคบหา สติและสมณะ มักจะได้ลาภมากมาย แต่จะจ่ายมากกว่าที่ได้มา ส่วนใหญ่มันจะเรียกว่า วันครู จึงจะเป็นผู้ที่ดวงแข็ง ไม่ค่อยยอมใครง่ายๆ คือความคิดตัวเองเป็นใหญ่เสมอ จึงต้องบูชาฤๅษี พระฤๅษีอิศวร เป็นผู้ทรงบารมีมากล้นเหลือคณานับ ทำลายอธรรมให้พินาศ ไปด้วยเดช และฤทธิ์ ก็คือเป็นภาคอวตารหนึ่งของพระศิวะเจ้านั่นเอง จึงไม่ต้องอธิบายคุณสมบัติอย่างใดมากมายไปกว่านี้ เพราะพลังและอำนาจของท่านมีเหลือคณาที่จะนับ การบูชา
1. ดอกไม้เหลือง แดง ขาว ลึกเป็นฝอย
2. น้ำนมโค, แพะ , แกะ ก็ได้
3. กระถางบูชาต้องใหญ่ โดยใช้ไม้จันทร์หอมเป็นฟืน
4. มะพร้าวอ่อน ข้าวตอก หญ้าคา
5. งาขาว งาดำ พระคาถาบูชาพระฤๅษีอิศวรเจ้า โอม นะมัสสะ ศิวะ โอมนะมัสสะ กาเม ประเมอิศวร วันทามิ สะระนัง ติโลกาตะรัง มุนิเทวา มหามุนิเทวา วันทะนัง สัพพะกิม ประสิทธิเมอิติประมะติงสา อิติสัพพัญญูมาคะตา อิติโพธิมะนุปัตโต อิติปิโสจะเตนะโม บูชาสักการะในวันพฤหัส 9, 18 ,36 จบ ทุกวันปรารถนาสิ่งใดก็ได้ความสำเร็จอย่างมหัศจรรย์อย่างยิ่ง
ผู้เกิดวันศุกร์............... เป็นคนธาตุลม มีจิตที่ทะเยอทะยา ปากดี พูดจาปราศรัยไม่ทันคิด ปากจะนำภัยมาสู่ตัวเสียมาก หาทรัพย์มาได้เท่าไรก็ใช้หมดเท่านั้น ชอบเอาเสียงไปรบกวนผู้อื่นเสมอๆ ทำการค้าก็ได้กำไรเท่าทุน ส่วนใหญ่ชอบเชื่อคนอื่นง่าย บางครั้งอาจจะหอบ แม้กระทั้งเป็นนักการพนัน ด้วยซ้ำ จึงต้องระวังให้ดี ดังนั้น ท่านที่เกิดวันศุกร์ ควรบูชา พระฤๅษีปรศุรามมณี เป็นฤๅษีที่พระนารายณ์อวตารมาเป็นฤๅษีองค์นี้ เพื่อปราบผู้ที่ทำตนเย่อหยิ่ง ทำผิดศีลธรรมและท่านเป็นคนซื่อตรง ผู้ใดจะพูดอะไรก็ไม่สนใจ จะกระทำหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายให้สำเร็จกิจจนได้ถึงขั้นที่เรียกว่า สามารถตัดงาของพระพิฆเนศได้เชียวละ ท่านจึงมีอิทธิฤทธิ์และตบะมิใช่น้อยเลยทีเดียว จึงเหมาะสมกับผู้เกิดวันศุกร์ การบูชาพระฤๅษีประศุรามมุนี
1. ขันธ์ 5 ดอกไม้ 1 พวง ควรเป็นสีฟ้า
2. มีขวานเล่มเล็ก ควายไว้ 1 เล่ม
3. หมากพลู บุหรี่
4. ข้าวต้มมัด ข้าวต้มถั่ว 5 กีบ
5. ผักลวกจิ้ม
6. น้ำนมวัว น้ำเปล่าบริสุทธิ์
7. กำยาม ธูปหอม
8. ระฆังสั่นเมื่อทำการบูชา พระคาถาบูชาพระฤๅษีประศุรามมุนี โอม ฮะเร ฮะเร ลักษมี นาราย เอย ยะเตนมัส 3 ครั้ง นมัสการ โอม พระปรศุรามมุนี คุรุเทโว มเหศวรี มุนี มหาเทวานัง มหามุนิเทวา อาจาริยะ คุณนัง ปุริตตะวา มหาลาโภ มหาลาภัง อะระหังสุขขัง ปูชายะ ภะวันตุเม อิติสุคะโต อะระหังพุธโธ นะโมพุทธายะ ปะฐะวี คงคง พระภุมมะเทวา ขมามิหัง ควรบูชาพระฤๅษีปรศุรามมุนี ด้วยพระคาถานี้ในวันศุกร์ 9, 36 จบเท่านั้นและอนุมาน ขอพรจากท่านสิ่งใดที่ขัดข้องอยู่ก็จะทำให้เราพ้นผ่านปัญหานั้นไปได้อย่างไม่มีใครมาขัดขวาง อีกทั้งท่านยังเป็นองค์อวตารของพระนารายณ์ซึ่งเท่ากับเราได้บูชาพระนารายณ์แล้วย่อมไม่มีความเศร้าตรม และท่านฤๅษีปรศุรามยังได้รับการคารวะจากองค์พระพิฆเณศ ด้วยซ้ำจึงไม่ต้องห่วงเลยว่าความศักดิ์สิทธิ์จะมีมากเพียงใดคณานับไม่ได้ ต้องลองพิสูจน์ด้วยตัวของท่านเอง
ผู้ที่เกิดวันเสาร์ .............เป็นคนธาตุไฟ มันเป็นคนดุพอควร ใจนักเลง อันธพาล มีมิตรชอบยืมเงินยืมทอง รักใครก็รักจริง เป็นผู้มียศถาบรรดาศักดิ์ดี ทรัพย์มาก ถ้าเป็นพ่อค้าหรือทำธุรกิจ มักจะทำงานใหญ่เกินตัว จมไม่ลง โด่ด้วยมัง ใครจะทัดทานยึดถือตัวเองเป็นใหญ่ แต่ส่วนใหญ่มักจะเสียเพราะเพื่อนซะเยอะ ไม่ค่อยจะดูแลคนในครอบครัวเท่าไร ศัตรูจะเกิดเพราะเราเป็นคนตรงหรือจากนิสัยของเราโดยไม่รู้ตัวก็ได้ จึงควรบูชาฤๅษีองค์นี้ดีที่สุด พระฤๅษีพิฆเณศ เป็นฤๅษีที่เป็นโอรสของพระอิศวรเจ้าซึ่งมีพลังอำนาจบันดาลขจัดอุปสรรคทั้งหลาย แล้วยังมีเศียรที่เป็นช้างเอราวัณจึงเสริมพลังว่าเป็นผู้มียศอำนาจบารมีมิมีใครจะกล้ามาทำลาย ท่านเป็นผู้บันดาลความสำเร็จทุกประการให้แก่ผู้สักการะท่าน จึงเหมาะกับคนที่เกิดวันเสาร์แน่นอน การบูชาพระพิฆเณศ
1. ดอกไม้เหลือแดงขาว
2. นมวัว, นมแพะ
3. ขนมอินเดีย
4. เนย
5. พวงมาลัยคล้ององค์ของท่าน
6. รูปปั้นหนู
7. พัด, ตาลปัตร ขนาดเล็ก
8. สร้อย แหวน กำไร
9. ผลไม้ 5 อย่าง คาถาบูชาพระฤๅษีพิฆเณศ โอม กังการะมะเต ชะยะ คเณสะ ยะนะมะฮะ ชะยะคะเณศะ ชะยะ คเณศะ เทวานะมะ มาตาธาตี ปะจะวะตี ปิตา มะหาเทวะ นะมะ จะทุวันทา โกคะ จะเค ปัตตะ กาเร เสวา นะมะ เอกะทันตะ ทะยาวันคา จาระสุธา ธารีนะมะ มาเถ สินทูระ เสเห มูเส กี อะสะวารี นะมะ อันธะนะ โก อาง ขะ เทตะ โก กายา พรหมณะ นะโก กุตรระ เทตะ โกทินะ นิระธะนะ มายะนะมะ ท่านที่เกิดวันเสาร์ ควรที่จะบูชาพระฤๅษีพิฆเณศองค์นี้ ควรสวดบูชาในวันเสาร์ 9, 16, 36 ครั้ง จะเป็นมงคลแล้วท่านปรารถนาสิ่งใดก็ตาม ท่านจะประสบความสำเร็จอย่างน่าทึ่ง เพราะตอนนี้พระฤๅษีพิฆเณศนี้ได้มีคนรับถือเกือบทั่วโลกอยู่แล้วและท่านที่มีองค์ฤๅษีพระพิฆเณศอยู่นั้น ได้เป็นปางของฤๅษีอยู่หรือไม่ แต่ถ้าไม่ใช่ก็พึงจะดูรูปของท่านคณะผู้จัดทำได้นำไปก่อนแล้วตัดสินใจบูชา ถ้าเป็นรูปของพระพิฆเณศเป็นปางเทพเจ้าแล้วนั้นก็ยังขาดซึ่งตบะอยู่ แต่ถ้าได้ปางที่พระพิฆเณศอยู่ในปางพระฤๅษีพิฆเณศจะเป็นผู้บริสุทธิ์ด้วยศีลอาจาริยวัตร และตบะพลัง อำนาจจะเพิ่มทวีคูณ แล้วพร้อมจะช่วยเหลือมนุษย์อยู่เสมอ ตาแว่น บ้านดาบ ขอขอบคุณ เว็ป หลวงปู่ฤาษีแก้ว และเว็ปหลวงปู่กาหลง เขี้ยวแก้ว ที่เผยแพร่ข้อมูล
ตำนานพระฤษี
ตำนานพระฤษีตาวัว เล่าว่าในกาลก่อนท่านเป็นพระภิกษุผู้ตาบอดทั้งสองข้าง แต่พระตาบอดรูปนี้มีวิชาอาคมมาก ด้วยว่าชอบเล่นแร่แปรธาตุ ท่านยังมีปรอทเรืองแสงก้อนหนึ่งที่วิเศษนักอีกด้วย พระลูกศิษย์ของท่านได้ออกหาดวงตาศพคนตายเพื่อจะควักมาให้อาจารย์ของตนทำพิธี เปลี่ยนดวงตา แต่ทว่าหาดวงตาของคนไม่ได้ จึงควักเอาดวงตาของวัวที่เพิ่งตายมาแทน พระอาจารย์ก็เปลี่ยนตาวัวใส่ตาของตน แล้วใช้ปรอทวิเศษคลึงดวงตาทั้งสอง และทันใดนั้นดวงตาของท่านก็มองเห็นได้ทันที เพียงแต่ลูกตามีลักษณะคล้ายวัวเท่านั้น ต่อมาท่านลาสิกขาบท เพราะรู้ตัวตนว่าชอบทางคาถาอาคม เล่นแร่แปรธาตุ ท่านจึงไปประพฤติตนเป็นพระฤษีอยู่ตามป่าเขาพงไพรจนชาวบ้านเรียกขานท่านว่า “พระฤษีตาวัว” นับจากนั้น
พระฤษีนารท อีกตำนานหนึ่งแห่งดุริยะเทพศิลป์พระฤษีผู้เป็นครูแห่งการร้องรำ การแสดง และการดนตรีนั้นมีนามเรียกขานกันว่าพระฤษีนารท แต่อาจแตกต่างกันไปดังนี้ พระฤษีนารอด พระฤษีนารท บางตำราก็ว่าท่านมีนามว่า “พระปรคนธรรพ” บ้างในสายนาฏศิลป์พระฤษีนารทปรากฏประวัติความเป็นมาทั้ง ในคัมภีร์ทางคติฮินดู ในตำราอินเดีย และตำรานาฏศิลป์ของไทยเรา ส่วนใหญ่ล้วนกล่าวตรงกันว่าท่านเป็น “บรมครู” แห่งนาฏศิลป์ และดุริยางค์ศิลป์ ผู้ที่จะบรรเลงดนตรี หรือรำฟ้อนล้วนต้องไหว้ครู หรือครอบครูมาก่อน และ “ครู” หรือที่พวกศิลปินเรียกขานว่า “พ่อแก่” นั้นก็คือพระฤษีนารท นี่เอง
พระฤษีตาไฟ ฤทธานุภาพของพระฤษีตาไฟ
พระฤษีตาไฟได้รับการกล่าวขวัญว่าเป็นพระฤษี ที่มีความดุอยู่ในตัว อันเนื่องมาจากท่านสามารถเพ่งให้เกิดไฟลุกไหม้ได้อย่างน่าสะพรึง
เป็นที่เชื่อกันว่า การครอบเศียรพระฤษีตาไฟจะมีผลให้ผู้ครอบครูมีอำนาจบารมีสูง แคล้วคลาด ปลอดภัยจากคุณไสย และอาคมต่าง ๆ และยังปรากฏญาณหยั่งรู้เสมือนมีดวงตาที่ 3 มองเห็นสิ่งที่คนธรรมดาไม่เห็น เช่น เคราะห์ภัยต่าง ๆ บรรดานักโหราศาสตร์จึงนิยมครอบเศียรฤษีตาไฟ เพื่อให้เกิดญาณหยั่งรู้ที่พิเศษยิ่งขึ้นนั่นเอง
พระฤษีเพชรฉลูกัญ ครูแห่งช่างก่อสร้างและดนตรี หลายตำราเชื่อว่า พระฤษีเพชรฉลูกรรมคือองค์เดียวกับ “พระวิศวกรรม” นั่นเอง พระวิศวกรรมเป็นครูแห่งการสร้างและการช่างต่าง ๆ
ปู่ฤษีอินทร์ พระอินทร์ที่่เคยบำเพ็ญเนกขัมมบารมีออกบวช ครองเพศพระฤษี อันนับว่าเป็นต้นกำเนิดของโยคี และพราหมณ์ผู้ออกบวชในสมัยก่อนพุทธกาลนานมาแล้ว
พ่อปู่ฤษีสรรเพชร พระครูฤษีอีกองค์หนึ่ง ซึ่งเป็นที่เลื่องลือว่าศักดิ์สิทธิ์มาก คือพ่อปู่ฤษีสรรเพชร ท่านเป็นพระฤษีที่สันนิษฐานกันว่าน่าจะสร้างขึ้นในสมัยกรุงศรีอยุธยา พ่อปู่ฤษีสรรเพชรประดิษฐานอยู่ในโพรงถ้ำเล็ก ๆ ภายในอาณาบริเวณวัดพระพุทธฉาย จังหวัดสระบุรี
ปู่ฤาษีพุทธมงคล หรือ อีกชื่อหนึ่งก็คือปู่ฤาษีสัจจะพันธ คีรีท่านเป็นองค์เดียวกัน ถ้าท่านใดจะไปนมัสการปู่ฤาษีพุทธมงคลหรือ ปู่ฤาษีสัจจะพันธคีรีก็ขอเชิญไปนมัสการท่านได้ที่ จ. สระบุรี ปู่ฤาษี สัจจะพันธคีรี ท่านเป็นครูใหญ่ในวิชาอาคมในสรรพวิชาการในแขนงต่างๆ และท่านปู่ฤาษีพุทธมงคล ท่านจะมีคุณวิเศษด้านวาจาสิทธิ์ ท่านพูดอะไรแล้วจะเป็นวาจาสิทธิ์
วันสารทจีน
เทศกาลสารทจีนจะตรงกับวันที่ 15 เดือน 7 (ปฏิทินจีนโบราณ)
ปีตรงกับวันศุกร์ที่ ๒๘ สิงหาคม ๒๕๕๘ ขึ้น ๑๔ ค่ำเดือน ๙ มะแม
เพื่อเป็นการแก้อาถรรพ์ ชาวจีนจึงมีการเซ่นไหว้ด้วยของไหว้ สารทจีน
หลากความหมาย ที่ปฏิบัติสืบกันมาเนิ่นนานซึ่งถือเป็นวันสำคัญที่
ลูกหลานชาวจีนจะแสดงความกตัญญูต่อบรรพบุรุษ โดยพิธีเซ่นไหว้
และยังถือเป็นเดือนที่ประตูนรกเปิดให้วิญญาณทั้งหลายมารับกุศลผลบุญได้
โดยมีความเชื่อกันว่า วันสารทจีนเป็นวันที่เงี่ยมล้อเทียนจือ(ยมบาล)
จะตรวจดูบัญชีวิญญาณคนตาย ส่งวิญญาณดีขึ้นสวรรค์และส่งวิญญาณร้ายลงนรก
ชาวจีนทั้งหลายรู้สึกสงสารวิญญาณร้ายจึงทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้
ดังนั้นเพื่อให้วิญญาณร้ายออกมารับกุศลผลบุญนี้จึงต้องมีการเปิดประตูนรกนั่นเอง
ในกรณีผู้ที่มีองค์เทพ
หากมีประสงค์ จะกระทำพิธีเซ่นไหว้บูชาครูที่หิ้งบูชาก็สามารถกระทำได้ดังนี้
ท่านสามารถจัดหาเป็ด ไก่ หมูสามชั้น ขนมเข่งขนมเทียน ขนมเปี๊ยะ
ผลไม้ต่างๆ น้ำร้อน น้ำชา ของหวานต่างๆ
เมื่อไหว้ครูอาจารย์ที่หิ้งแล้ว ให้ตัดแบ่งของไหว้ใส่ภาชนะให้กับบริวาร
ส่วนกระดาษที่ใช้ในการไหว้ให้ใช้แบบสำหรับไหว้เจ้าที่เทวดาครับ