การประทับทรงของร่างทรง ควรเป็นลักษณะนุ่มนวล สุภาพอ่อนโยน พูดจาไพเราะ หรือถ้าเป็นแบบอิทธิฤทธิ์ จะดุดัน แต่แฝงด้วยเมตตา
การทรงลักษณะ หิวโหย กินเหล้าเมายา กินของสดๆ เอะอะโวยวาย พูดจาหยาบคาย มิใช่สายเทพครับ
..........................................................................................
ด้านล้างเป็นบทความที่อาจารย์ไปพบมาตามเวบต่างๆ อะไรบ้างก็จำไม่ได้แล้วครับ เห็นเป็นบทความที่ดีเลยนำมาลงไว้ครับ
ส่วนสิ่งที่มนุษย์จะได้รับตอบแทนจากองค์เทพนั้น ขึ้นอยู่กับการอธิษฐานขอในตอนครอบขันธ์ ทั้งนี้ทั้งนั้นย่อมไม่เกินกฏแห่งกรรม ลักษณะของชั้นเทพลักษณะของจิตวิญญาณในระดับต่างๆ ที่ลงมาประทับทรงหรือเข้าทรงมนุษย์นั้น หากเรารู้จักสังเกตุให้ดี ก็พอจะแยกได้ว่า เป็นเทพหรือเป็นผี โดยอาศัยหลักพิจารณาโดยสังเขปดังนี้
1. ประทับทรงจากส่วนล่าง จิตวิญญาณใดที่ประทับทรงจากปลายเท้าขึ้นมา มักจะเป็นพวกสัมภเวสี หรือ วิญญาณมนุษย์ที่ตายไปแล้ว
2. ประทับทรงจากด้านหลัง จิตวิญญาณใดประทับทรงจากด้านหลังมักจะเป็นวิญญาณทั่วไปที่มีฤทธิ์อำนาจ ซึ่งมักจะเรียกขานกันว่า เจ้าพ่อ เจ้าแม่ เจ้าปู่ ฯลฯ
3. ประทับทรงจากด้านหน้า จิตวิญญาณใดที่ประทับทรงจากด้านหน้า มักจะเป็นวิญญาณของมนุษย์ที่ไปเกิดเป็น เทวดาชั้นจาตุมฯ ที่อยู่ใกล้ชิดมนุษย์
4. ประทับทรงจากทางบ่า จิตวิญญาณใดที่ประทับทรงจากทางบ่ามักจะเป็นเทพหรือดาบสที่มีฤทธิ์ ในระดับกลาง ๆ
5. ประทับทรงจากกลางกระหม่อม จิตวิญญาณใดที่ประทับทรงจากส่วนศรีษะหรือกระหม่อม มักจะเป็นเทพในระดับสูง
จากลักษณะของการประทับทรง
๑. ประทับทรงจากส่วนล่าง มีอธิบายไว้ว่าเกิดจากสัมภเวสี วิญญาณของมนุษย์ที่ตายไปแล้ว อาจเป็นการโดนคุณของคุณไสย์ ลมเพลมพัดได้ครับ
...................................................................
ข้อสังเกต มนุษย์ผู้ที่มีองค์เทพแฝงอยู่นั้นสังเกตได้ด้วยตนเองไม่ยาก
1. มึนศรีษะข้างเดียวเป็นประจำ บางทีทางการแพทย์ว่าเป็น ไมเกรน
2. หนักต้นคอ บางครั้งหนักบ่าสองข้างเหมือนมีใครมาขี่คอ บางทีขับรถอยู่ดี ๆ ก็รู้สึกหนักบ่า
3. แน่นหน้าอกเป็นบางครั้ง เหมือนคนหายใจไม่อิ่ม บางคนเป็นบ่อย
4. ฝันแม่นยำ มีลางสังหรณ์แม่นยำ บางทีเรียกสัมผัสที่หก หรือ “ ซิกเซ้นท์ ”
5. ชอบฝันหรือตีเป็นตัวเลข เสี่ยงโชคได้ใกล้เคียงบางที ผิดแต้มเดียว กลับบนกลับล่าง กลับหน้ากลับหลัง ซื้อทีไรก็เฉี่ยวไปเฉี่ยวมาเป็นประจำ แต่ถ้าไม่ซื้อเที่ยวบอกใคร เขาก็จะถูก
6. บางครั้งหูจะได้ยินเสียงเรียกชื่อเบาๆ เหมือนเสียงกระซิบก็มี เสียงดังก้องในหู ก็มี
7. ไปตามสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ หรือ มีอะไรที่ลี้ลับ จะรับรู้โดยการสัมผัส ขนลุกชันเย็นซ่าไปทั้งตัว
8. บางครั้งสวดมนต์เป็นภาษาบาลีอยู่ดีๆ ก็เปลี่ยนเป็นภาษาอื่นรัวเร็วขึ้นมา
9. หากนั่งสมาธิจะได้หูทิพย์ ตาทิพย์ เร็วกว่าคนทั่วไป
ดังนั้นอาการบางอย่างหาหมอก็แล้ว กินยาก็แล้ว มันไม่หาย ก็ให้ สวดมนต์นั่งสมาธิตามที่ว่าแล้วแผ่เมตตาบ่อยๆ ทุกอย่างมันจะหายไปเอง เสี่ยงโชคลาภก็จะได้ เพราะบารมีที่ทำนี่แหละ แต่บางอย่างก็อาจจะเกิดจากสัมภเวสีได้เช่นกัน
1. ปวดศรีษะเป็นประจำ บางครั้งปวดมากจนทนไม่ไหว หมอว่าเป็นความดันบ้างก็แล้วแต่ ก็ควรตรวจเช็คแก้ไข เพราะอาจถูกสัมภเวสีเกาะอยู่ในศรีษะได้
2. ปวดไหล่เป็นประจำ หมอว่าเป็นเส้นเอ็นอักเสบ กินยาทายาก็แล้ว มันไม่หาย ตึงไปหมด ถือว่าผิดปกติ
3. มือเท้าชาเป็นซีก จากไหล่ หรือตะโพก หัวเข่าก็ตาม
4. แน่นหน้าอกมากผิดปกติ5. ปวดบริเวณกระเบนเหน็บ บางที่การแพทย์ระบุว่า หมอนรองกระดูกทับเส้น เว้นแต่กรณีการเกิดอุบัติเหตุ ลื่นหกล้มจนกระแทกพื้นอย่างแรง นั่นก็จะต้องพิจารณารายละเอียดเป็นกรณีไป
.................................................................................
ด้านล่างนี้เป็นบทความส่วนหนึ่งที่น่าสนใจเลยนำมาลงไว้ให้ท่านได้ศึกษาไว้ครับ อาจมีบทความจากที่อื่นๆชี้แจงแตกต่างกันไปครับ
จุดที่สำคัญในร่างกายทั้งหมด7จุด
1.มูลธาร อยู่ที่ปลายกระดูกสันหลัง "มูลธาร"ธารแห่งชีวิตเริ่มต้นที่นี้การนั่งกับพื้น จะทำให้กระแสพลังในร่างกายสามารถแตะรับพลังจากแม่พระธรณี รวมเป็นกระแสที่ พุ่งผ่านขึ้นมา
2.สวาธิษฐาน คือจุดที่อยู่ต่ำกว่าสะดือหนึ่งฝ่ามือ เหนือเครื่องเพศ"สวาธิฐาน" สะวะ คือการไหล การหยดย้อย หยดแห่งชีวิตมนุษย์อุบัติที่นั่น การอธิฐานมาเกิดย่อมเริ่ม ณ จุดนั้น
3.มณีปุระ สายใยแห่งชีวิต เมื่อมนุษย์คลอดพ้นครรภ์มารดา รก จะถูกตัดขาดแยกเป็น ชีวิตใหม่ หลุดจากกายทิพย์
4.อนาหตะ จุดกึ่งกลางอก "อะนะ"คือลมหายใจคือการเคลื่อนไหว"หตะ"คือถึงที่จุดจบ ยามมรณะจุดนี้จะเป็นจุดหมดสิ้นของชีวิต
5.วิสุทธิ อยู่ตรงคอหอยคือความใสสะอาดหมดจรด
6.อาชญะ อยู่กึ่งกลางหน้าผากระหว่างหัวคิ้ว เป็นจุดแห่งอำนาจ แสงสว่างจากจิตจะ แสดงได้ตรงนี้
7.สหสราระ "สะหะ"คือร่างแรงพลังศักติ์ "สร"คือการไหล คือจุดที่พุ่งออกจากมูลธาร ผ่านจุดต่างๆขึ้นเบื้องบน ยามมรณะกาลมาถึง จุดหยดน้ำสีขาว(คือหยดแห่งบิดา)จากจุดพินทุภายในกึ่งกลาง กระโหลกศีรษะจะค่อยๆหยาดย้อยไหลลงมา ผ่านช่องกลางของกระดูกสันหลังตรงข้อต่อ ขณะจุดหยดน้ำสีแดง(คือหยดแห่งมารดา)จะเคลื่อนผ่านจากหทัยไปอยู่ตรงช่องกลาง ณ ทรวงอก สำหรับผู้ทรงฌานชั้นสูงเมื่อถึงมรณะกาล ลมปราณจะพันเป็นเกลียวแน่น
ณ จุดมูลธาร ปลายกระดูกสันหลังตรงก้นกบ กระดูกสันหลังจะเปิด ลมปราณจากมูลธาร จะดันขึ้นไปจนถึงจุดที่หยาดหยดน้ำขาวและแดงรวมกัน จากนั้นจะถูกลมดันให้พุ่งออก ทางกระหม่อม เมื่อผ่านออกได้ก็ถึงมรณะกาล
*โยคะกรรม* ในร่างกายมนุษย์นั้น พลังขั้วลบจะอยู่ปลายกระดูกสันหลังเรียกว่าพลัง "กุณฑาลินี" พลังขั้วบวกจะอยู่กลางกระหม่อมเรียกบัลลังก์พระวิษณุ การดึงพลังจากขั้วบวก จะทำให้พลังทิพย์ในร่างกายหมุนวนดี " ท่าการปฏิบัติการขจัดพิษร้ายออกจากร้างกาย" นั่งขัดสมาธิใช้นิ้วชี้ขวาแตะกึ่งกลางหน้าผากแล้วหายใจออกแรงๆ จากนั้นใช้นิ้วหัวแม่มือ กดจมูกขวา หายใจเข้ายาว...ลึก แล้วกลั้นไว้ก่อนค่อยระบายออก แล้วเปลี่ยนไปใช้นิ้วกลาง
กดจมูกซ้ายหายใจเข้า-ออก แบบเดียวกัน อัดลมหายใจ ค่อยโน้มตัวไปข้างหน้าจนหน้าผาก ติดพื้น แล้วเกร็งตัวลุกขึ้นนั่ง ผ่อนลมผายใจออก ท่านี้เป็นท่าการขัดพิษร้ายออกจากร่างกาย tada สติก่อให้เกิดสมาธิ สมาธิก่อให้เกิดปัญญา เกล็ดความรู้จากนิยายเรื่องชามี่
เขียนโดย ทมยันตี